เทศน์เช้า

ไก่ป่า

๑๖ มิ.ย. ๒๕๔๔

 

ไก่ป่า
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เป็นชาวพุทธจะหาที่พึ่ง มันพึ่งไม่ได้ พึ่งไม่ได้เพราะอะไร มันเหมือนไก่บ้านกับไก่ป่า ถ้าเป็นไก่ป่า เห็นไหม ไก่ป่ามันจะอาศัยชีวิตของมัน อยู่ของมันเอง แล้วมันมีศักดิ์ศรีของมัน มันหากินของมัน มันจะตายบางทีมันก็ตายโดยธรรมชาติของมัน ถ้ามันโดนเขาจับไปมันก็เป็นอาหารของมัน กับไก่บ้านไง เรานี่เป็นไก่บ้าน ห่วงพะว้าพะวงไปหมดเลยว่าจะไม่มีที่กิน ไม่มีอะไร สะสมอาหารไว้จนเหลือเฟือ ไก่บ้านเห็นไหม หน้าที่ตื่นขึ้นมาก็กิน กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน กินแล้วก็รอเป็นอาหารของเขา

นี้ก็เหมือนกัน ความคิดของเรานี่มันเป็นไก่บ้าน สะสมทุกอย่างเลย ของที่พึ่งที่อาศัยนี่ต้องเป็นวัตถุ ต้องเป็นเงินเป็นทอง เป็นเครื่องอยู่อาศัย เป็นตำแหน่งหน้าที่การงาน นี่ว่าพอทำงานก็เครียด พอเครียดมากเลย พอลาออกขึ้นมาก็มีความคิดอีกแล้ว ว่าออกมานี่ทำไม ออกมาเพื่ออะไร คิดอยากมีหน้าที่การงานอีกแล้ว เพราะว่าตัวเองมองไปว่าตัวเองออกมาแล้วนี่ไม่มีคุณค่าไง

นี่กิเลสมันหลอกอย่างนั้น กิเลสมันหลอกของมัน หลอกว่าตัวเองนี่เหมือนกับไก่บ้านไง หลอกว่าเป็นไก่บ้าน ไก่บ้านต้องมีอาหารสะสมไว้เยอะ ๆ ขึ้นมากินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน กินแล้วก็ให้เขาเชือดไง มองแต่วัตถุว่าเราจะมีความสุขได้เฉพาะถ้ามีวัตถุ มีตำแหน่งหน้าที่การงานเท่านั้น ถ้าไม่มีตำแหน่งหน้าที่การงานมันก็ไม่มีความสุข

เราบอกเหมือนไก่ป่า ไก่ป่านี่มันอยู่หากินของมันไป ถ้าพูดถึงอาหารที่มันไม่มีนี่ มันแล้วแต่มันจะหากินได้นะ คุ้ยเขี่ยหากินได้ก็หากินไปธรรมชาติของมัน เราย้อนกลับมาให้เห็นคุณค่าของมนุษย์ ตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นหน้าที่การงาน แต่คนที่จะมีเป็นคนขึ้นมา เป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้วถึงจะมีหน้าที่การงานใช่ไหม ให้ย้อนกลับมามีคุณค่าของเรา

แล้วคุณค่าของเรานี่ธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของคนน่ะ เราบอกว่าเครื่องยนต์ เห็นไหม ถ้าเครื่องมันติดตลอดนี่มันแก้ไขเครื่องไม่ได้หรอก เอาแค่ดับเครื่องนี่ ดับเครื่องทำความสมาธินี่ สมาธิเกิดขึ้นได้ แต่เรายิ่งทำยิ่งเครียด เพราะอะไร? เพราะว่าเรานี่เหมือนไก่บ้าน เราสะสม พอเราสะสมนี่มันยึดติด ความยึดติดนี่มันยึดติดกับสิ่งความคิด ยึดติดกับทุก ๆ อย่าง พอยึดติดกับทุก ๆ อย่างแล้วมันก็จะยึดติดตรงนั้นว่าต้องเป็นอย่างนั้น คุณค่าต้องเป็นเท่านั้นไง

คนเรามันหยาบเกินไป คนเราไม่รู้จักศาสนาที่พึ่งอะไร? ศาสนานี่บอกให้ปล่อยวาง ศาสนาให้ละ ให้ปล่อย ให้วางใช่ไหม ผู้ที่ปล่อยที่วางเป็นผู้ที่ได้ ฟังสิ ผู้ที่ยึดที่มั่นเป็นผู้ที่ไม่ได้ ผู้ที่ยึดที่มั่นพยายามยึดให้ได้ ยึดให้มั่นเข้ามานี่ มันยิ่งยึดมั่นมันยิ่งทุกข์ เพราะมันยึดมั่น มันไม่มีอะไรจริงเลย พระพุทธเจ้าสอนว่าโลกนี้เป็นของสมมุติทั้งหมด แต่ในความรู้ของเรานี่ มันรู้แบบตื้น ๆ พื้นฐานของมันคือว่าปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย แล้วก็อยู่กันประสาโลกไง

เหมือนกับขงจื๊อ ขงจื๊อนี่ครอบครัวใหญ่ แล้วเป็นความกตัญญู เป็นผู้ที่ว่าพยายามมีวัตถุมา เป็นความครอบครัวใหญ่ เป็นสิ่งที่ว่ามีวัตถุนิยม เป็นวัตถุนิยม เป็นความเจริญของโลกเขา ขงจื๊อสอนอย่างนั้น สอนความเป็นศีลธรรม กตัญญูกตเวทีเท่านั้น แต่เรื่องความครอบครัวใหญ่ เรื่องความกตัญญู เรื่องติดพันไป มันเรื่องของโลกเขา กตัญญูนี่มันมีกตัญญูอยู่เยอะแยะไป

ในบารมี ๑๐ ทัศ พระเจ้าสามอะไรนั่นน่ะ ที่ว่าหาบพ่อหาบแม่ไว้ข้างหนึ่งเลย พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าชาตินั้นพยายามสะสมบุญญาธิการ พระพุทธเจ้าบอกว่าเอาพ่อเอาแม่ไว้ข้างซ้ายข้างขวานะ แล้วให้ถ่ายลงมานะ ถ่ายรดลงมา อยู่บนไหล่ของตัวนี่เราป้อนอยู่กินนี่ อันนี้ขนาดนั้นนะ แต่นี่เป็นบุญไหม? เป็น แต่บุญอย่างนี้มันน้อยกว่าว่าเราเปิดตาพ่อแม่

เราเปิดหูเปิดตาพ่อแม่นี่มันเปิดใจพ่อแม่ ถ้าเราเปิดใจพ่อแม่นี่มันไม่แต่ชาตินี้ไง พอมันตายไปคนเราจิตนี่เวลาตายไปร่างกายแปรสภาพไป แต่หัวใจต้องไปเกิดใหม่ บุญกุศลถ้าเขาลืมตานี่เขาสร้างบุญกุศล เขาทำคุณงามความดีของเขาไว้ คุณงามความดีนี่มันสุขใจตั้งแต่ชาติปัจจุบัน เราเอามาไว้บนไหล่ของเรานะ แล้วเราป้อนอยู่นี่ ถ้าหัวใจมันทุกข์นะ เราป้อนเราบำเรอขนาดไหน เขาก็มีความทุกข์

แต่ถ้าเขาเปิดหัวใจนะ เปิดหัวใจหัวใจเขามีความสุขก่อน ความเป็นอยู่ข้างนอกมันเป็นเรื่องของหยาบ ๆ แล้ว มันเป็นเรื่องความเป็นอยู่ของใจแล้ว มันจะเห็นคุณค่าของใจ อันนี้มันบอกว่าไก่บ้านนี่มันไม่เห็นคุณค่าของใจไง ไก่บ้านมันว่ามันสุขสบายกว่าไก่ป่า มันดีกว่าไก่ป่า มันมีเครื่องอยู่อาศัย ไก่บ้านมันอาศัยวัตถุนิยม อาศัยเครื่องอยู่อาศัยแล้วมีความสุข

นี่เป็นไก่บ้าน พอเป็นไก่บ้าน จิตมันก็ยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้น แล้วมันก็ไม่เห็นคุณค่าของความสุขของใจ ไม่เห็นคุณค่าของมนุษย์ คุณค่าของมนุษย์นี่เรามองเฉพาะร่างกายนี้ไม่ได้ ถ้าร่างกายนี่นะ มีหัวใจอยู่นี่ หัวใจเรามีอยู่มันมีธาตุไฟอยู่ มันก็เผาผลาญอยู่ เราขยับตัวได้ พอเราตายไป พอใจมันออกจากร่างเท่านั้นน่ะ ร่างกายนี้แข็งเป็นท่อนไม้เลย ขยับตัวไม่ได้เลย

นี่หัวใจถึงสำคัญกว่า ถ้าหัวใจสำคัญกว่า หัวใจมันกินอะไร? ถ้าคนมันละเอียดเข้ามา มันจะเห็นว่าหัวใจนี่มันกินคุณธรรม กินคุณงามความดี กินบุญกุศล พอกินบุญกุศลขึ้นมานี่ เริ่มทำสมาธิได้ ถ้ามันเชื่อตรงนี้ไง เชื่อว่าอาหารของใจมันละเอียดอ่อน มันละเอียดอ่อนกว่าอาหารของกายมาก อาหารของกายนี่มันหยาบเกินไป อาหารของกายคือวัตถุนิยมนี่มันเหมือนไก่บ้าน มันสะสมอย่างนี้ มันหยาบไง จิตใจมันหยาบ มันไม่เห็นคุณงามสิ่งที่จะละเอียดเข้าไป ในเมื่อมันไม่เห็นสิ่งที่ละเอียดเข้าไปนี่มันปล่อยอันนั้นไม่ได้

แล้วเราพยายามจะไปทำสมาธินี่มันก็คิดว่าทำสมาธิ มันไม่เข้าใจไง เหมือนกับตัวเองนี่ไปฝืนตัวเองไว้ ธรรมดาของคนมันต้องคิดสิ แล้วมันจะหยุดคิดได้อย่างไร ในเมื่อเราหยุดคิดไม่ได้ เราก็ต้องคิดไป มันก็พยายามพุทโธ เห็นไหม มันเหมือนกับอันหนึ่งก็พยายามจะคิดไว้ อันหนึ่งก็จะไปยับยั้งมัน มันทุกข์ไหม ถึงบอกว่ามันทุกข์มากนะ เพราะคนไม่เข้าใจว่า เรื่องของจิตนี่มันพักได้ ที่สุดของความคิดมันหยุดได้

พอมันหยุดได้เราบอกว่าเครื่องยนต์นี่มันแค่หยุดหมุน เครื่องยนต์หยุดหมุนแล้วเราจะไปซ่อมเครื่องยนต์นี่เราต้องไปเปิดเครื่องยนต์ซ่อมเครื่องยนต์อีก เห็นไหม การซ่อมเครื่องยนต์นั้นน่ะเป็นวิปัสสนา สมถกรรมฐานแค่ทำความหยุดเท่านั้น เรายังต่อต้าน ในจิตใต้สำนึกมันต่อต้าน ความรู้สึกของตัวเองน่ะมันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ไง สิ่งที่เป็นไปไม่ได้มันก็ยิ่งเครียด ๒ ชั้น ๓ ชั้น

มันน่าสงสารๆ ตรงนี้ สงสารที่ว่าข้างหน้าก็ไปไม่ได้ ถอยหลังก็ถอยหลังไม่ได้ อยู่กับปัจจุบันนี้ก็เดือดร้อน ฟังสิ ทุกข์ไหม จะไปข้างหน้าหรือมันก็แบบว่ามันไปแล้วมันไปแข่งขันแล้วมันก็ปวดหัวมาก มันก็อยากจะถอยหลัง พอถอยหลังไปนี่เราจะอยู่อย่างไร ในเมื่อเราจะอยู่ได้เราต้องมีปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย จะอยู่ในปัจจุบันก็ทุกข์ เราถึงบอกว่าไอ้สิ่งนั้นน่ะเครื่องอยู่อาศัยนี่เราสะสมมา เรามีเงินมีทองเข้ามานี่ ถ้าเราใช้ของเราไปประสาเรา เราเลี้ยงชีวิตปัจจัย ๔ นี่เราพออาศัยของเราไปได้ ถ้าเราพออาศัยของเราไปได้นี่สิ่งนั้นเราอยู่ในโลกได้แล้ว ถ้าเราอยู่ในโลกได้แล้วนี่หัวใจสำคัญ สิ่งที่ทำให้หัวใจสำคัญน่ะ

ย้อนกลับมานี่ ถึงทำความสงบได้ ธรรมชาติของมัน มันมีคุณค่ามากถ้าทำความสงบ สิ่งที่มันคิดมันเดือดร้อนนั่นน่ะ แล้วถ้ามันสงบลง มันสงบลงจะเห็นคุณค่าของความสงบอันนั้น พอเห็นคุณค่าของความสงบอันนั้นปั๊บ มันจะเห็นคุณค่าของโรคภัยไข้เจ็บไง สิ่งที่โรคภัยไข้เจ็บเพราะมันวิตกวิจาร มันไปติดเกี่ยวอันนั้นไว้มาก ถ้ามันปล่อยวางเข้ามา จิตใจมันปล่อยวางเข้ามา โรคนั้นหายโดยธรรมชาติของมันเลย

มันเป็นเรื่องโรคของจิต มันไม่ใช่เรื่องโรคของกาย หมอรักษาไปเถิด ๆ กรรมเห็นไหม โรคเรามี ๓ ชนิด โรคกรรม โรคร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยธรรมชาติของมัน โรคอุปาทาน อุปาทานนี่อุปาทานจนเป็น อุปาทานอยู่อย่างนั้นน่ะ อุปาทานจนเป็น โรคกรรมมันรักษาไม่หาย โรคธรรมชาติของมัน มันเสื่อมสภาพของมันไป อันนี้โรคอุปาทาน พอโรคอุปาทานนี่หัวใจมันก็เป็นไปอย่างนั้น แล้วเครียดไปหมดเลย ๆ มันคิดนี่ เราให้เห็นคุณค่าของศาสนาไง

ถ้าเรามองเห็นคุณค่าของศาสนา เราปล่อยวางใจเข้ามานี่ ใจเราพัฒนาขึ้นมาขนาดไหน แต่เดิมถ้าเราไม่พัฒนามันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ เมื่อวานอ่านใจเขานะ แบบว่ามันเหมือนกับมันอยู่ห่างไกลกับศาสนามาก เหมือนกับคนป่วย แล้วก็อยู่ห่างไกลกับยามาก แล้วจะเอายามากินนี่มันก็เหมือนกับสงสัยในยานั้น ว่าอย่างนั้นเลย ไม่กล้ากินยานั้นไง คนป่วยแล้วไม่มียากิน

ทั้ง ๆ ที่ธรรมะนี้มีอยู่นะ ศาสนานี้มีอยู่โดยสมบูรณ์เลย แต่เพราะเขาคิดของเขาอย่างนั้น ความคิดของเขาอย่างนั้น แล้วก็คิดแล้วช่วยตัวเองไม่ได้นะ ศาสนธรรมมีอยู่แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วตัวเองก็ทุกข์ นั่งน้ำตาไหลนะ นั่งร้องไห้ตลอด ทุกข์มาก ทุกข์มากอย่างที่ว่านี่ ไปข้างหน้าก็ไปไม่ได้ ถอยหลังก็ไปไม่ได้ อยู่ปัจจุบันนี้ก็งง งงมากเลย

นี่เพราะอะไร? เพราะความหยาบอันนั้นไม่ได้ฟังธรรม พวกเรานี่มันพัฒนาขึ้นมาเพราะอะไร? เพราะเราฟังธรรมของเราขึ้นมา เห็นไหม ฟังธรรม ธรรมนี้บอกว่า ธรรม ศาสนธรรมคำสั่งสอนไง พระพุทธเจ้าผ่านตรงนี้มาก่อน พระพุทธเจ้าเห็นใจมาก่อน ถ้าผู้ที่หูตาสว่างบอกคนตาบอดน่ะ คนตาบอดต้องลังเลสงสัยทั้งหมด คนตาบอดใจมันบอด พอใจมันบอดนี่มันก็ต้องสงสัย

ความสงสัยอันนั้นน่ะมันก็ต่อต้าน มันสงสัยปั๊บนี่ คนสงสัยคิดดูสิมันจะมีอะไรในหัวใจบ้างล่ะ มันก็ขุ่นมัวไปหมด ในหัวใจมันสงสัยไปหมด แล้วมันก็กระพือให้มันเร่าร้อนไปหมด มันจะหาเหตุหาผลขึ้นมา ไอ้ความหาเหตุหาผลอันนั้นน่ะมันกวนใจให้ขุ่น กวนใจให้ทุกข์ก่อนเพราะมันสงสัย แล้วคนตาดีล่ะ? คนตาดีมันสงสารไง คนตาดีบอกสิ่งสิ่งนั้นน่ะมันหยุดได้โดยธรรมชาติของมัน ฟังสิ ฟังว่าสิ่งสิ่งนั้นธรรมชาติของมันหยุดได้โดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว มันหยุดได้

แต่นี้เพราะตัวเองไม่รู้ ตัวเองไม่รู้แล้วไม่เข้าใจว่ามันหยุดได้ มันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะหยุดได้ มันก็เลยคิดใหญ่ไปเลย ๆ แล้วความที่มันหยุดได้จริง ๆ ถ้าคนตาดีเคยทำแล้วเห็นสภาพมันหยุดได้ พอมันหยุดได้แล้ว นี่มันเป็นเรื่องสิ่งที่หยาบ ๆ เริ่มต้นเท่านั้นเอง พอเริ่มต้นขึ้นมานี่จะยกวิปัสสนานั้นอีกเรื่องหนึ่ง ถึงบอกว่าจะให้ปูพื้นฐานของใจอันนี้ให้ได้

ถ้ามันมีศาสนา มีศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่ แล้วเราศึกษาของเราอยู่นี่ เราพัฒนาขึ้นมาของเรานี่ เราเปิดกว้างไง เหมือนกับหัวใจเราเริ่มเปิดขึ้นมา เห็นภาพราง ๆ แต่ถ้าเราทำความสงบของใจขึ้นมานี่ นั่นน่ะผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ความเห็นตถาคตหมายถึงว่าพระพุทธเจ้าเห็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าสัมผัสอย่างนั้น แล้วเราสัมผัสตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสัมผัส สัมผัสเข้าไปเลย เห็นเงา เห็นราง ๆ ก่อนแล้วก็เห็นเงา แล้วถ้าเราวิปัสสนาจนกิเลสมัน...

(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)